#เจาะลึก ลงทุนทองให้ได้กำไรดี … ต้องเข้าใจอะไรบ้าง
หากในภาพรวม ถ้าเราลงทุนหุ้นตั้งแต่ต้นปี มาถึงเมื่อวันนี้ (18 ก.พ. 2020) ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับคือ ติดลบ 4.19% พูดง่ายๆ ก็คือขาดทุนกว่า 4% ทีนี้ ถ้าเราลงทุนในทองแท่งในช่วงเวลาเดียวกัน ผลตอบแทนที่จะได้รับคือ 8.39% หรือกำไรกว่า 8%
หากมองย้อนไปปีที่แล้วทั้งปี พบว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1% อย่างไรก็ดี ถ้าเลือกหุ้นที่ใหญ่ที่มีการจ่ายเงินปันผลตามนโยบาย โดยเฉลี่ยผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 5.4% รวมแล้วประมาณ 6.4% ขณะที่การลงทุนทองคำปีที่แล้ว ถ้าซื้อตั้งแต่ต้นปี แล้วขายตอนปลายปีจะได้ผลตอบแทนอยู่ที่ 9.41%
วันนี้ Marketeer จึงอยากชวนมาทำความรู้จักการลงทุนใน “ทองคำ” เพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนในยามที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนและซบเซาจากพิษเศรษฐกิจและสถานการณ์โลกที่รุมเร้ากระหน่ำด้วยปัจจัยลบภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง ตัวเลขการท่องเที่ยวที่หายไป และงบประมาณประจำปีที่ล่าช้า แถมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำเตี้ย
ทำความรู้จัก “ทองคำ” เบื้องต้น
ทองคำ” แบ่งกว้างๆ เป็นทองคำรูปพรรณ และทองคำแท่ง ทั้งนี้ ความนิยมทองของคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เห็นได้จากข้อมูล World Gold Council ปี 2018 …
ประเทศที่มีการบริโภคทองคำ (Consumer Demand = Jewelry demand+ Bar and coin demand) มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในโลก ได้แก่ จีน (1,058.3 ตัน) ตามมาด้วยอินเดีย (760.4 ตัน) สหรัฐอเมริกา (154.4 ตัน) เยอรมนี (107.4 ตัน) อิหร่าน (91.2 ตัน) และ ประเทศไทย (80.6 ตัน) เป็นลำดับที่ 6 ของโลก
สำหรับประเทศไทย การกำหนดมาตรฐานความบริสุทธิ์ของเนื้อทองมี 2 ชนิด ได้แก่
ทอง 99.99% เป็นทองคำที่มีเนื้อทองบริสุทธิ์ 99.99% หรือที่เรียกกันในระบบสากลว่า “ทอง 24 กะรัต” ซึ่งเป็นมาตรฐานทองที่ใช้กันทั่วโลก
ทอง 96.5% คือทองคำที่มีเนื้อทองบริสุทธิ์ 96.5% โดยที่เหลือเป็นเนื้อเงิน ซึ่งผสมเข้าไปเพื่อให้ทองมีความแข็งและทนต่อการสึกหรอมากขึ้น และได้เนื้อทองสีเหลืองเข้มกำลังดี ทั้งนี้ มาตรฐานความบริสุทธิ์ 96.5% ใช้แค่ในประเทศไทย นั่นแปลว่า ถ้าเรานำทองคำ 96.5% ไปขายในต่างประเทศอาจจะขายไม่ได้หรือขายได้ค่อนข้างยาก
ในแง่ของการลงทุน คุณฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG Bullion and FUTURES)ให้มุมมองว่า ทองคำ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณ อาจมองกว้างๆ ได้ 2 สถานะ คือ สินทรัพย์การลงทุนเพื่อทำกำไร และ สินทรัพย์ปลอดภัย ที่หลายคนอาจได้ยินบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอน อย่างกรณีเหตุการณ์ระหว่างสหรัฐฯ -อิหร่าน ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ที่ว่าทองคือ “Safe Haven” ซึ่งแปลตรงตัวคือ ที่พัก (เงินลงทุน) ที่ปลอดภัย นั่นเอง!!
แล้วทำไม “ทอง” ถึงเป็น Safe Haven
เพราะทองเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวเองเพราะเป็นแร่ที่หายาก และมูลค่าไม่ลดลงมากนักแม้ในยามวิกฤต เพราะอะไร?
เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความต้องการสูง ไม่ว่าจะเป็น
1) เพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม ทั้งในวงการอิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสารและโทรคมนาคม รวมถึงการแพทย์
2) เพื่อหนุนหลังการออกใช้ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ในประเทศ และใช้เป็นสินทรัพย์ในทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วโลก
3) เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ ซึ่งมีสัดส่วนสูงสุด โดยจีนและอินเดียเป็นผู้บริโภคหลัก
4) เพื่อการออมและการลงทุน โดยเฉพาะกองทุนหลายแห่งมักลงทุนทองไว้ด้วยเพื่อลดความผันผวนของอัตราผลตอบแทน และทองเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนชนะอัตราเงินเฟ้อแทบจะตลอดเวลา
สี่ข้อสงสัยที่ได้ยินบ่อยในการลงทุนทอง
1. “ราคาทอง 20,000 หมื่นกว่าบาท มายังไง”
เวลาที่เราดูราคาทองที่แปะหน้าร้านหรือหน้าจอทีวีบ้านเรา จะเห็นว่า 1 บาททอง มีมูลค่ากว่า 2 หมื่นบาท ขณะที่ถ้าดูราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) ซึ่งพูดกันเป็นดอลลาร์ต่อออนซ์ (Troy Ounce) เช่น ราคา Gold Spot ณ เช้าวันนี้ (วันที่ 18 ก.พ. 2020) อยู่ที่ 1,586 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเทียบเท่าเงินบาท 23,000 กว่าบาท
2. “ทำไมราคาทองโลกขึ้น แต่ราคาทองเมืองไทยไม่ขยับขึ้น”
เพราะราคาทองสัมพันธ์กับค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น ถ้าราคาทอง Gold Spot ขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นในสัดส่วนที่ใกล้กันมาก นั่นจึงทำให้ราคาทองในรูปเงินบาทไม่ขยับ เช่นเดียวกับทิศทางขาลง ถ้าราคา Gold Spot ลงในขณะที่เงินบาทก็อ่อนตัวลงในสัดส่วนที่เท่ากัน ก็ทำให้ราคาทองไม่ลงตามได้เช่นกัน
3. “เหมืองทองในไทยก็มี โรงหลอมแร่ทองในไทยก็มี ทำไมต้องนำเข้าทอง”
“ในเมืองไทยก็มีเหมืองทอง แต่เป็นเหมืองของต่างชาติ และแร่ทองทั้งหมดที่ขุดได้จะถูกส่งไปหลอมเป็นทองแท่ง 99.99% ในต่างประเทศ เนื่องจากโรงงานหลอมในไทยยังไม่มีที่ไหนได้รับรองมาตรฐานจาก LBMA (The London Bullion Market Association) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่วงการค้าทองทั่วโลกยอมรับ” คุณฐิภากล่าว
4. “ทำไมทองคำแท่งเหมือนกัน แต่ขายได้ราคาต่างกัน”
ประเด็นแรก อาจมาจาก % ความบริสุทธิ์ของทองที่แตกต่างกัน แน่นอนว่า ทองคำ 99.99% ย่อมขายได้ราคาดีกว่า 96.5% แต่แน่นอนว่าราคาตอนซื้อก็ย่อมแพงกว่าเช่นกัน
ประเด็นที่สอง ถึงแม้จะเป็นทองคำ 99.99% เหมือนกัน แต่ถ้าทองคำแท่งหนึ่งมีตรารับรองว่าผ่านการหลอมมาจากโรงงาน LBMA ย่อมขายได้ราคาดีกว่าทองคำที่ไม่มีตราประทับ และที่สำคัญ ตราสัญลักษณ์ LBMA ยังเป็นใบเบิกทางในการนำทองก้อนนั้นไปขายในร้านค้าต่างประเทศได้อย่างสะดวก อีกด้วย
ที่มา : https://marketeeronline.co/archives/146655